พาเที่ยวและทำกิจกรรมสนุก ๆ ที่ Coro Field (โคโรฟิลด์)…ฟาร์มเมล่อน Organic แห่งใหม่ของไทย
เราได้มีโอกาสไปร่วมงานเปิดตัวรอบสื่อของฟาร์มเมล่อน Organic แห่งใหม่ของไทย ที่ชื่อว่า “Coro Field (โคโรฟิลด์)” ตั้งอยู่ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวแนว Lifestyle Farming รูปแบบใหม่ที่น่าสนใจ เหมาะกับ Lifestyle ของคนยุคใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งฟาร์มได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว! ชวนเพื่อน ชวนพี่น้อง พาเด็ก ๆ และครอบครัว ไปเที่ยวกันได้เลย!!
วันนี้เราจะพาทุกคนมาชมบรรยากาศและวิวสวย ๆ รอบฟาร์ม พร้อมทั้ง แนะนำกิจกรรมสนุก ๆ ภายในฟาร์ม เพื่ออุ่นเครื่องกันสักเล็กน้อยก่อนจะมาเที่ยวกัน โอเคพร้อม! ลุย! ^_^
“Coro Field (โคโรฟิลด์)” ตั้งอยู่บริเวณริมถนนราชบุรี-ผาปก ตำบลป่าหวาย อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 3 ชั่วโมง พอใกล้ถึงจะมีป้ายชื่อฟาร์มขนาดใหญ่ติดอยู่ด้านหน้า มองเห็นได้ชัดเจน และมีที่จอดรถไว้บริการด้านหน้าฟาร์มด้วย
เดินเข้ามาภายในฟาร์ม จะพบกับ Mascot น่ารัก ๆ ชื่อว่า “โคโรโระคุง” ตัวขาวอวบ ยืนยิ้มต้อนรับแขกผู้มาเยือน และภายในฟาร์มก็จะมีเจ้า “โคโรโระคุง” ในอิริยาบทท่าทางต่าง ๆ กันไป ไว้ให้เก็บภาพประทับใจน่ารัก ๆ ด้วย
โครงสร้างอาคารต่าง ๆ ภายในฟาร์ม ออกแบบและตกแต่งแบบ Minimal Style โดยทีมสถาปนิก IF (Integrated Field) เน้นความเรียบง่าย ใช้โทนสีขาว ดูสว่าง สะอาด สบายตา ตกแต่งอย่างมี Detail ด้วย Furniture ไม้ และไม้ประดับ เช่น บอนไซ, Cactus ฯลฯ ให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ
เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง จากเจ้าของฟาร์มสองพี่น้อง “Coro Brothers” คือ คุณพีทและคุณพอร์ช และพนักงานทุกคนต้อนรับด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ให้บริการอย่างดีมาก เริ่มต้นเสริฟความสดชื่นให้เราด้วย Welcome Drink เป็น “Melon Cream Cheese Smoothie” รสชาติเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นเมล่อนและครีมชีสละมุนมาก อร่อยดี เดินทางมาเหนื่อย ๆ ทานแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีเลย
คุณพีทและคุณพอร์ช สองพี่น้อง “Coro Brothers” ได้พูดคุยและแนะนำให้เรารู้จักกับ Coro Field ในภาพรวมทั้งหมด พร้อมทั้ง เป็นผู้นำชมโซนต่าง ๆ ภายในฟาร์มด้วย
Coro Field (โคโรฟิลด์) เป็นคำพ้องเสียงที่มาจากคำว่า Chlorophyll (คลอโรฟิลล์) สารให้ความรู้สึกสดชื่น ช่วยเติมพลังในชีวิต แยกความหมายออกเป็น 2 คำ คือ
Coro (โคโร) ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “เวลา” และ Field (ฟิลด์) หมายถึง “สนามกว้าง ๆ” สื่อถึงการมีอิสรภาพ
Coro Field (โคโรฟิลด์) จึงมีความหมายโดยรวมว่า สนามสีเขียวกว้าง ๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เข้ามาสัมผัส ได้มีอิสรภาพในความเป็นตัวเอง และได้สัมผัสชีวิตแบบ “Coro Life” คือ การพักผ่อนเติมพลังให้กับชีวิต ดื่มด่ำกับช่วงเวลาและจังหวะชีวิตที่ช้าลง แต่เต็มไปด้วยความสุขที่มากขึ้น
ที่มาของ Coro Field เริ่มจากการที่สองพี่น้อง “Coro Brothers” หลังจากเรียนจบมา ก็ได้มุ่งมั่นทำธุรกิจด้าน Finance และนวัตกรรมการเกษตร ซึ่งเป็นโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ตราผึ้งมังกรมาสักระยะหนึ่ง และเห็นถึงวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่มีแต่ความเร่งรีบ เต็มไปด้วยการแข่งขัน ทำงานหนักจนบางทีลืมไปว่าความสุขที่แท้จริงในชีวิตคืออะไร จึงมองหาธุรกิจที่ตอบโจทย์ปัญหา Lifestyle คนรุ่นใหม่ เกิดขึ้นเป็น “Coro Field (โคโรฟิลด์)” แหล่งท่องเที่ยวทางการเกษตรรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า “Lifestyle Farming” ที่ทำให้การเพาะปลูกเป็นเรื่องสนุก ไม่น่าเบื่อ เข้าถึงง่าย ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การปลูก แต่เป็นการสร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่ เป็นสถานที่พักผ่อน ที่ทำให้รู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง แต่ความสุขกลับมีเพิ่มมากขึ้น
ในพื้นที่ 104 ไร่ ของ Coro Field แบ่งการสร้างออกเป็น 4 Phase ซึ่งขณะนี้สร้าง Phase ที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย 4 โซนย่อย คือ Coro Cafe & Market, Coro Me, Coro House และ Coro Garden และกำลังสร้าง Phase ที่ 2 ต่อไป ซึ่งเราจะพาไปชมให้ครบทุกโซนเลย
มาเริ่มที่ Phase ที่ 1 กันก่อนนะ มี 4 โซนย่อย ดังนี้
1. Coro Cafe & Market แบ่งเป็น 2 โซน คือ
โซน Cafe
มีอาหาร เบเกอรี่ และเครื่องดื่ม ให้เลือกอย่างหลากหลาย เป็นการนำเอาผลผลิต Organic จากฟาร์มที่มีคุณภาพดี มาผสมผสานกับวัตถุดิบชั้นดีอื่น ๆ คิดค้นขึ้นเป็นเมนูสูตรเฉพาะของทางร้าน โดยเชฟทีมชาติไทย
โซน Market
เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าและผลผลิต Organic จากฟาร์ม ทั้งผลไม้สดและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ เช่น เมล่อนสายพันธุ์ Hokkaido, มะเขือเทศฮอลแลนด์, แตงโมแอฟริกา, มันเทศญี่ปุ่น, ฟักทองญี่ปุ่น, ผลไม้อบแห้ง, แยมและซอสต่าง ๆ แบบ Homemade ฯลฯ สามารถซื้อกลับไปทาน และเป็นของฝากคนที่คุณรักได้
2. Coro Me
เป็นโซนกิจกรรมออกแบบและตกแต่งต้นไม้อย่างอิสระ ตามความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของตนเอง ซึ่งต้นไม้ที่ใช้ในกิจกรรมนี้ เป็นไม้ประดับที่ปลูกอยู่ในกระถาง Recycle ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ และกระดาษเหลือใช้ต่าง ๆ เป็นวัสดุหลักในการทำกระถาง จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีน้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่นสูง ตกพื้นไม่แตก และระบายความร้อนได้ดี โซนนี้จะมี Artist คอยให้คำแนะนำในการทำกิจกรรมด้วย แบ่งเป็น 3 โซนย่อย ดังนี้
Adopt
เป็นโซนให้เลือกต้นไม้ที่ชอบ และนำกลับบ้านได้คนละ 1 ต้น เช่น เฟิร์น, บอนไซ, Cactus ฯลฯ พร้อมใบรับอุปถัมภ์ต้นไม้ คนละ 1 แผ่น จากนั้น ให้ตั้งชื่อต้นไม้ ลงชื่อด้านล่าง และตกแต่งให้สวยงามด้วยตราปั๊มรูปโคโรโระคุงน่ารัก ๆ เพื่อเป็นการให้สัญญาว่า จะดูแลเอาใจใส่ต้นไม้ต้นนี้เป็นอย่างดี
GIY (Grow It Yourself)
เป็นมุมประดับและตกแต่งต้นไม้ โดยนำต้นไม้ที่เลือกไว้จากโซน Adopt มาตกแต่งเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ ซึ่งมีของประดับไว้ให้เลือกมากมาย เช่น ป้ายชื่อต้นไม้, ตุ๊กตาเซรามิครูปสัตว์ต่าง ๆ, หินกรวด, เม็ดทรายสีสันสดใส ฯลฯ
Gift Station
เป็นมุมของฝากสวย ๆ แนว ๆ จาก Coro Field เช่น ตะเกียบไม้, ดินสอไม้, แก้ว, ขวด, ที่คั้นน้ำผลไม้ ฯลฯ ให้เลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึกได้
3. Coro House
เป็นโรงเรือน Organic ขนาดใหญ่ ที่ใช้เทคโนโลยีควบคุมการเพาะปลูกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Coro Brain) จากประเทศอิสราเอล เน้นปลูกพืชด้วยความใส่ใจ ให้พืชกินดี อยู่ดี มีความสุข ใช้สรรพนามเรียกต้นพืชว่า “เค้า” แทนการเรียกว่า “มัน” เพราะอยากให้ความรู้สึกเสมือนแม่ดูแลลูก ซึ่งคงไม่มีลูกคนใดที่อยากถูกเรียกว่า “มัน” ตั้งแต่เล็กจนโต มีการเปิดเพลงโมสาร์ทให้ฟังเบา ๆ รดน้ำต้นพืชด้วยน้ำแร่ธรรมชาติ ซึ่งเป็นความโชคดีที่ขุดเจอแหล่งน้ำแร่ภายในฟาร์มแห่งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกคอยดูแลอย่างใกล้ชิด สามารถควบคุมปริมาณน้ำ ลม แสง อุณหภูมิ ความหวาน และขนาดของลูกได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และยังเป็นแหล่งให้ความรู้และเทคนิคการเพาะปลูกต่าง ๆ ด้วย ซึ่งภายในโรงเรือนจะปลูกพืช 2 ชนิดหลัก ๆ ดังนี้
เมล่อนสายพันธุ์ Hokkaido มีระดับความหวานอยู่ที่ 18.5 Brix มี 2 ชนิด คือ
โทมิเมล่อน (Tomi Melon) เมล่อนเปลือกสีทอง เนื้อสีเขียว กลิ่นหอมฟุ้ง รสชาติหวานหอม เนื้อกรอบ และโยชิเมล่อน (Yoshi Melon) เมล่อนเปลือกสีเขียว เนื้อสีส้ม กลิ่นหอมละมุน รสชาติหวานฉ่ำ เนื้อนุ่ม
มะเขือเทศสายพันธุ์ฮอลแลนด์ มีระดับความหวานอยู่ที่ 9.5 Brix มี 2 ชนิด คือ
มะเขือเทศสีแดง (Red Holland Cherry) รูปร่างผลมีลักษณะเป็นทรงกลม เปลือกบาง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นมะเขือเทศ และมะเขือเทศสีเหลือง (Yellow Holland Cherry) รูปร่างผลมีลักษณะเป็นทรงวงรี เปลือกหนา รสชาติหวาน แทบไม่มีกลิ่นของมะเขือเทศเลย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบทานมะเขือเทศ ก็สามารถทานได้
4. Coro Garden
เป็นกิจกรรมการปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วยตนเอง โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แบ่งออกเป็น 2 โซนย่อย ดังนี้
Grow Zone
เป็นกิจกรรมเรียนรู้วิธีการปลูกผักด้วยตนเอง โดยเริ่มจากขุดหลุมให้ลึกพอสมควร นำต้นกล้าวางลงไปในหลุม กลบดินให้เรียบร้อย เขียนชื่อลงในแผ่นป้าย แล้วปักไว้ข้าง ๆ ต้นกล้า เมื่อผักเติบโตขึ้นจนเก็บเกี่ยวได้ จะนำไปแบ่งปันให้กับวัด โรงเรียน สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือคนยากไร้ ที่ต้องการนำไปบริโภค เป็นการทำประโยชน์คืนให้กับสังคมด้วย
Harvest Zone
เป็นกิจกรรมเรียนรู้วิธีการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ถูกต้องด้วยตนเอง โดยจะมีชะลอมเล็ก ๆ แจกให้คนละ 1 อัน ให้เลือกเก็บมะเขือเทศสีแดงและสีเหลือง ที่สุกพร้อมทานแล้วได้ตามใจชอบ และนำกลับบ้านได้ ซึ่งวิธีการเก็บเกี่ยวมะเขือเทศที่ถูกต้องนั้น จะต้องเก็บพร้อมขั้ว เพื่อยืดอายุในการเก็บรักษา ให้สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นสัปดาห์ พร้อมความสดและกรอบอร่อยดังเดิม
ชม Phase ที่ 1 และทำกิจกรรมครบทุกโซนแล้ว พามาชม Phase ที่ 2 กันบ้างดีกว่า ^_^
Phase ที่ 2 ประกอบด้วย โรงเรือน Organic ขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ยังไม่เสร็จสมบูรณ์, อาคารควบคุมการเพาะปลูกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Coro Brain) และถังพักน้ำแร่ขนาดใหญ่, โรงเรือนอนุบาลต้นกล้า, โรงเรือนเพาะปลูกผักสลัด และโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ตราผึ้งมังกร ซึ่งจะอยู่โซนด้านหลังของฟาร์ม ต้องนั่งรถมาเพื่อเข้าชม เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร Coro Field จริง ๆ
ทำกิจกรรมและชมฟาร์มมาทั้งวัน ท้องเริ่มแอบร้องเบา ๆ หิวแล้ววว มาหาของอร่อยเพิ่มพลังกันดีกว่า
เมนูอาหารใน Coro Cafe มีให้เลือกหลากหลายสไตล์ ทั้งอาหารฝรั่ง อาหารไทย และอาหารญี่ปุ่น วันนี้เราได้ชิมเมนูอาหารคาว ของหวาน และผลไม้สดครบครัน อิ่มอร่อย ฟินสุด ๆ ^_^
Melon Trio และสลัดผัก เสริฟพร้อมน้ำสลัดสูตรพิเศษของทางร้าน มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รสชาติเปรี้ยว หวาน มัน อร่อยกลมกล่อม
ข้าวผัดกะเพราเห็ดโคนญี่ปุ่น เสริฟพร้อมไก่ทอดคาราเกะ รสชาติเข้มข้น เผ็ดร้อนจัดจ้านในแบบฉบับไทยแท้ ๆ เมนูนี้อร่อยมาก แนะนำเลย
พาสต้ายากิโซบะ เส้นพาสต้าเหนียวนุ่ม ซอสเข้มข้น รสชาติซอสมีความหวานและเค็มผสมกันอย่างลงตัว หอมอร่อย
ทานของคาวเรียบร้อย ตามต่อด้วยของหวานเป็น “นมฮอกไกโด (Soft Serve)” เนื้อเนียนนุ่ม หวานกำลังดี เย็นชื่นใจ
ปิดท้ายด้วย “โทมิเมล่อนสด” หั่นชิ้นตามแนวยาวของลูก แบ่งมาเป็นชิ้นพอดีคำ วิธีการทานเมล่อนที่ถูกต้อง จะต้องเริ่มทานจากตรงกึ่งกลางของชิ้นก่อน เพราะจะมีความหวานมากที่สุด แล้วค่อยทานตรงส่วนอื่นต่อไป ซึ่งเป็นเมล่อนที่หวานมาก หอมมาก อร่อยสุด ๆ ติดใจซื้อกลับมาทานเองและเป็นของฝาก 5 ลูก!
นอกจากนั้น ยังมีเมนูอาหารแนะนำอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีก เช่น Homemade Burger หมูชาชู, Coro Toast, เมล่อนปัง ฯลฯ แค่ชื่อก็น่าทานแล้ว ลองสั่งทานกันดูนะ ไว้เรามาอีกครั้งจะชิมให้ครบทุกเมนูเลย ^_^
ขณะนั่งทานอาหารอย่างเพลิดเพลิน หลังคาของ Cafe ก็เลื่อนเปิดออก ว้าววว ดีงามสุด ๆ ถ้าเป็นหน้าร้อนก็ปิดหลังคา เปิดแอร์เย็นสบาย ส่วนหน้าหนาวก็เปิดหลังคารับลมหนาว นั่งทานอาหารชมดาว ชิลล์ดีจริง ๆ
ทริปนี้เป็นอีกหนึ่งทริปที่สนุกมาก ได้มาเที่ยวและทำกิจกรรมมากมาย ได้รับความรู้ในการเพาะปลูกพืชแบบ Organic เห็นถึงความตั้งใจและความใส่ใจในการทำฟาร์มยุคใหม่ ให้ออกมาเป็น Lifestyle Farming ที่ทำให้การเพาะปลูกเป็นเรื่องสนุก และเข้าถึงง่ายจริง ๆ
ใครมาเที่ยวแถวอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี อย่าลืมแวะมา Coro Field ชมฟาร์มเมล่อน Organic กันนะ ไม่เสียค่าเข้าชม แต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมแต่ละโซน และได้รับของที่ระลึกเก๋ ๆ กลับบ้านด้วย
ลองมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่แบบ “Coro Life” การพักผ่อนเติมพลังให้กับชีวิต ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง แต่เต็มไปด้วยความสุขที่มากขึ้น ณ “Coro Field” ^_^
เวลาเปิด-ปิด:
โซน Cafe
วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 17.00 น.
วันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 09.00 – 19.00 น.
โซนอื่น ๆ
วันจันทร์ – อาทิตย์ เวลา 09.00 – 17.00 น.
Tel: 092-569-4791
IG: https://instagram.com/corofield/
Twitter: https://twitter.com/corofield
FB: https://www.facebook.com/corofieldTH